Wednesday, December 21, 2022

Hobby Model ฉบับที่ 89 ปี 2002

ปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 20 ปีของหนังสือ Hobby Model ฉบับที่ 89 ซึ่งเป็นฉบับที่ผลงานของตัวเองได้ขึ้นเป็นภาพหน้าปกและเป็นไฮไลท์ของเล่มครั้งแรกและครั้งเดียวก่อนที่หนังสือจะปิดตัวลงในฉบับที่ 100 ครับ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจในชีวิตการทำโมเดลของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยมีส่วนร่วมเขียนบทความให้กับหนังสือเกี่ยวกับโมเดลของคนไทยฉบับนี้ จนได้รับความไว้วางใจจากทีมงานและให้เกียรติรวบรวมผลงานของเรามาลงเป็นภาพหน้าปกและเป็นไฮไลท์ประจำฉบับ ช่วงเวลาที่ได้เป็นนักเขียนให้กับที่นี่ แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่ปีและเป็นเพียงส่วนเล็กๆของหนังสือ แต่ก็ได้รับประสบการณ์ต่างๆและมิตรภาพดีๆมากมาย ที่สำคัญมันกลายเป็นการปลูกฝังความชอบในการเขียนหนังสือให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว จนส่งผลให้ตัดสินใจเริ่มทำบล็อกส่วนตัวและเพจในเฟซบุ๊คเพื่อเขียนบทความต่างๆมาจนถึงปัจจุบันครับ

จำได้ว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วตอนที่หนังสือเล่มนี้ออกวางจำหน่ายก็ไปซื้อมาเก็บเอาไว้ส่วนตัว และซื้อส่งมาให้พี่ชายกับแม่ที่อยู่ที่อเมริกาด้วย พอตัวเองย้ายมาอยู่ที่นี่มีวันหนึ่งพี่ชายจัดของแล้วเจอหนังสือเล่มนี้เก็บไว้อยู่เลยหยิบมาให้ ก็เลยเอามาเก็บต่อจนไม่นานมานี้นึกขึ้นได้ว่าปีนี้ครบรอบ 20 ปีแล้วก็เลยหยิบมาถ่ายรูปเพื่อระลึกความหลังกันครับ

จุดเริ่มต้นของการที่ได้เข้าไปเขียนบทความให้กับหนังสือ Hobby Model เริ่มมาจากการที่ตัวเองนำผลงานไปส่งในงานประกวดที่หนังสือ Hobby Model เป็นผู้จัดที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว จำไม่ได้แล้วว่าปีอะไรแต่ตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ 19-20 ปี แล้วผลออกมาเราได้รับรางวัลจากการประกวดหลายรางวัล ทางทีมงานของหนังสือเลยมาพูดคุยว่าสนใจอยากจะเขียนบทความให้กับหนังสือหรือเปล่า จริงๆตอนนั้นไม่เคยเขียนบทความใดๆมาก่อนเลยและไม่รู้ด้วยว่าจะต้องทำอย่างไร ที่ผ่านมาทำโมเดลด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีเพื่อนที่เล่นมาด้วยกันหรือรู้จักใครในวงการ อาศัยอ่านจากหนังสือแล้วก็ลองหัดลองทำด้วยตัวเอง แต่ก็คิดว่าถ้าได้เขียนบอกเล่าวิธีการทำงานของเราให้คนอื่นได้อ่านบ้างก็น่าจะดี เหมือนกับที่เราก็เรียนรู้วิธีการของคนอื่นๆมาจากในหนังสือเช่นกัน ก็เลยตัดสินใจลองทำดู

ในตอนนั้น การทำงานของตัวเองยังใช้การทาสีด้วยมือเพียงอย่างเดียว เพราะยังไม่มีแอร์บรัชใช้ เลยเลือกเขียนอธิบายวิธีการทำงานและการทำฉากของตัวเอง และอาศัยวิธีการเขียนบทความของคนอื่นๆมาเป็นตัวอย่าง ผลงานชิ้นแรกที่ได้ลงในหนังสือเป็นฉากจำลองขนาดเล็กเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกี่ยวกับปืนต่อสู้อากาศยาน Flak 38 ของฝ่ายเยอรมันที่ถูกทิ้งเอาไว้ในซากอาคาร  และมีทหารอเมริกันมาเจอเข้าและกำลังสำรวจพื้นที่กัน

วิธีการเขียนบทความสมัยยี่สิบกว่าปีที่แล้วที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ จะใช้การเขียนลงบนกระดาษฟุลสแค๊ปหรือกระดาษที่เอาไว้ใช้เขียนรายงาน เขียนร่างบทความลงไปก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นอ่านทบทวนแล้วแก้ไขเพิ่มเติมให้ใจความนั้นครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่ต้องการนำเสนอ แล้วจึงมาเขียนคัดลอกแบบบรรจงลงบนกระดาษอีกรอบ เพื่อที่จะได้นำบทความที่เขียนเสร็จสมบูรณ์แล้วไปมอบให้กับกองบรรณาธิการนำไปพิสูจน์อักษรและตีพิมพ์ลงในหนังสืออีกที สมัยนั้นการจะเขียนบทความแต่ละครั้งจึงต้องมานั่งเขียนซ้ำกัน 2-3 รอบ ไม่สะดวกสบายเหมือนเดี๋ยวนี้ที่เขียนไปแก้ไปในคอมหรือในมือถือได้ทันทีเลย

ส่วนตัวโมเดลที่ทำเสร็จแล้วก็ต้องขนไปถ่ายรูปที่กองบก. เพื่อให้ช่างภาพประจำนิตยสารเป็นผู้ถ่ายให้ในสตูดิโอของสำนักพิมพ์ ที่มีการจัดแสงมีการใช้ฉากหลังและใช้การถ่ายด้วยกล้องฟิลม์ จนได้ภาพสวยๆออกมาอย่างที่เราเห็นกัน ตอนที่เริ่มเขียนบทความแรก กองบก.นั้นอยู่แถวท่าพระ เป็นตึกแถวเล็กๆที่ด้านล่างเป็นแท่นพิมพ์ขนาดใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงทีมบรรณาธิการและย้ายจากที่เดิมมาอยู่ในอาคารของสำนักพิมพ์อนิเมทที่ตั้งอยู่ในซอยฝั่งตรงข้ามเดอะมอลล์ท่าพระ ตอนนั้นตัวเองบ้านอยู่ที่สมุทรปราการบนถนนศรีนคริทร์ซึ่งไกลมากๆ แล้วก็ย้ายไปอยู่แถวรังสิตยิ่งไกลมากกว่าเดิม การจะไปที่สำนักพิมพ์แต่ละครั้งเลยใช้เวลามากพอสมควร ยิ่งครั้งไหนทำงานชิ้นใหญ่ต้องขนใส่แท็กซี่ไปก็ต้องเสียค่าแท็กซี่ครั้งละหลายร้อย

ถ้าจำไม่ผิดสมัยนั้นค่าเขียนบทความครั้งแรกเป็นเงิน 500-600 บาท จากนั้นก็ได้เพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ เอาจริงๆแค่ค่าโมเดลที่ทำในแต่ละครั้งก็มักจะมากกว่าค่าบทความที่ได้แล้ว แต่ก็ยังทำมาเรื่อยๆเพราะรู้สึกสนุกกับการที่ได้ทำงานให้เสร็จแบบมีเป้าหมายและชอบที่จะได้เขียนบทความอธิบายวิธีการทำงานต่างๆของตัวเอง 

ในครั้งแรกที่เขียนบทความส่งไป เราเลือกที่จะใช้ชื่อคนเขียนบทความเป็นชื่อจริงของตัวเองคือ "ต่อลาภ" ซึ่งในสมัยนั้นคนเขียนบทความในหนังสือจะใช้นามแฝงกันแทบทั้งหมด เคยมีคนถามเหมือนกันว่าทำไมถึงใช้ชื่อจริงในการเขียนบทความ ไม่ใช้นามแฝงเหมือนคนอื่นๆเขา คำตอบคือตัวเองในตอนนั้นไม่รู้ว่าควรจะต้องใช้นามแฝงในการเขียนหนังสือหรือเปล่า แต่ว่าตอนนั้นเริ่มที่จะซื้อหนังสือโมเดลต่างประเทศมาหัดอ่านภาษาอังกฤษ แล้วก็เห็นโมเดลเลอร์ต่างชาติทุกท่านที่ลงผลงานในหนังสือต่างประเทศใช้ชื่อจริงของตัวเองกันหมด ก็เลยคิดว่าใช้ชื่อจริงของตัวเองตามเขาก็ดูเป็นสากลดี แถมสะดวกตรงที่ไม่ต้องมานั่งคิดชื่อนามแฝงด้วย จนผ่านมาหลายปีให้หลังพอได้มาเขียนบทความให้หนังสือฉบับอื่น ทางพี่ บก. ขอให้ช่วยใช้นามแฝงเพื่อที่จะให้ดูมีความหลากหลายของนักเขียน ก็เลยใช้ชื่อนามแฝงว่า "Silk" ไปครั้งหนึ่ง 

ช่วงที่เขียนบทความให้หนังสือ มีโอกาศได้ไปที่กองบก. อยู่หลายครั้ง เป็นห้องทำงานเล็กๆอยู่ภายในอาคารของสำนักพิมพ์ มีพี่ๆหลายๆท่านนั่งทำงานกันอยู่ที่โต๊ะของแต่ละคน ทั้งนั่งปั้น ประกอบอุดขัด นั่งทำฉาก เพ้นท์สี พ่นสี ฯลฯ เตรียมผลงานที่จะลงในหนังสือฉบับถัดไป สำหรับตัวเองในตอนนั้นนี่คือสถานที่ทำงานในฝันที่จะได้อยู่กับงานโมเดลทั้งวัน เวลามีโอกาสไปที่นี่แต่ละครั้งก็เลยชอบไปนั่งดูเขาทำงานกันอยู่นานๆ แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนเงียบๆพูดไม่เก่ง ก็เลยมักจะนั่งดูเขาทำงานกันเงียบๆไม่ได้พูดจากับใครหรือไม่ก็ขอยืมหนังสือเขามานั่งดูเงียบๆคนเดียว พอมานึกถึงในตอนที่โตขึ้นก็คิดว่าตอนนั้นเขาคงจะอึดอัดกันน่าดูที่ไอ้น้องคนนี้มันมานั่งเงียบๆดูเขาทำงานกันเป็นขั่วโมง 😅 ในตอนนั้นได้มีโอกาสเห็นการทำงานของพี่ๆหลายๆท่านที่เราชื่นชม แล้วก็ทำให้ได้รู้จักกับพี่หลายๆท่านที่คบหาสมาคมกันจนถึงปัจจุบัน รู้สึกโชคดีมากๆที่ตัวเองได้มีโอกาสไปอยู่ตรงนั้นและได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำหนังสือเล่มนี้

ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเขียนบทความให้กับหนังสือ Hobby Model อยู่ประมาณ 4-5 ปี จำไม่ได้แน่นอนว่าเขียนไปทั้งหมดกี่บทความ แต่คิดว่าไม่ได้เยอะมากนักเพราะเป็นช่วงที่กำลังเรียนมหาลัยอยู่ด้วย เลยมีเวลาทำโมเดลเฉพาะช่วงที่ว่าง จนมาถึงช่วงที่เรียนปี 3 ทางพี่บก.จึงได้มาคุยว่าสนใจที่จะทำผลงานลงเป็นไฮไลท์ของเล่มหรือเปล่า ตอนนั้นดีใจมากไม่คิดว่างานที่ตัวเองทำจะได้รับการยอมรับมากขนาดนั้น เพราะหนังสือฮอบบี้โมเดลจะเน้นไปที่เรื่องของโมเดลจากภาพยนตร์หรืออนิเมต่างๆมากกว่างานประเภทสเกลโมเดล ผลงานบนหน้าปกของแต่ละฉบับที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานโมเดลในแนวทางนั้นเกือบทั้งหมด เรียกว่านับครั้งได้เลยที่จะมีผลงานบนหน้าปกเป็นงานแนวทหาร ก็เลยรับปากว่าจะทำและตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด ใช้เวลาทำอยู่นานหลายเดือนเหมือนกัน ในที่สุดก็เสร็จออกมาเป็นผลงาน 5 ชิ้นที่ได้ตีพิมพ์ลงในฉบับนี้ในหัวข้อ Mini Diorama เพราะในสมัยนั้นยังไม่รู้จักคำว่า Vignette กัน งานฉากจำลองที่มีขนาดเล็กก็จะเรียกกันติดปากว่ามินิไดโอครับ

ผลงานที่ลงหน้าปกชื่อ Battle Front, Germany 1945 เป็นผลงานที่ทำเพื่อส่งประกวดและได้รับรางวัลที่ 1 มาจากงานประกวดที่เดอะมอลล์บางกะปิ รายละเอียดต่างๆภายในฉากสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด ตอนที่นำผลงานทั้งหมดไปถ่ายรูปที่กองบก. วันที่ไปรับงานกลับทางพี่บก.มาคุยกับเราว่าทางผู้บริหารสำนักพิมพ์ชอบผลงานชิ้นนี้มาก และอยากขอซื้อผลงานชิ้นนี้ไว้ ใจจริงไม่ได้ต้องการที่จะขายผลงานชิ้นนี้เลยเพราะเป็นงานที่ตั้งใจทำมาก แต่ด้วยความที่เกรงใจพี่บก.ที่ดูเหมือนจะโดนกดดันมาอีกที ก็เลยจำใจขายให้ไปในราคาน่าจะ 4,000-5,000 บาท ซึ่งก็เสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็คิดว่าเป็นการตอบแทนที่ให้โอกาสได้เขียนบทความให้กับที่นี่มาโดยตลอด หลังจากนั้นก็หยุดพักการเขียนไปเพราะว่าขึ้นปี 4 ทั้งเรียนหนักและต้องทำธีสิส มามีเวลาว่างอีกทีก็ตอนมาข่วยพี่หมึกข้างขวดทำฟิกเกอร์ประกอบผลงานฉากจำลองขนาดใหญ่ของอ็อตโต คาริอุส เพื่อฉลองหนังสือฉบับที่ 100 น่าเสียดายที่หนังสือฉบับที่ 101 นั้นไม่ได้ถูกตีพิมพ์ บทความครึ่งหลังของฉากจำลองชิ้นนี้ที่รวมภาพผลงานที่เสร็จแล้วจึงไม่เคยถูกตีพิมพ์ออกไป และหนังสือ Hobby Model ที่อยู่คู่วงการโมเดลของไทยมาอย่างยาวนานก็ปิดฉากลงที่จำนวน 100 ฉบับ มีเพียง 3 ฉบับที่เป็นการรวบรวมผลงานของนักเขียนมาลงเป็นหน้าปกและไฮไลท์ของเล่มหรือ Best Of คือฉบับของพี่โด่ง นภากาศ ที่ทำโมเดลเครื่องบิน ฉบับของเราที่ทำโมเดลฉากจำลองขนาดเล็ก และฉบับของคุณนรินทร์ ที่รวบรวมงานปั้นของเขาเอาไว้ (งานชิ้นหนึ่งที่อยู่ในใจมาตลอดคือพรีเดเตอร์ vs ซามูไรที่เขาออกแบบและปั้นเอง ตอนนั้นมีโอกาสได้ไปเห็นตอนที่กำลังทำฉากปราสาทของงานชิ้นนี้ ทึ่งมากๆในการออกแบบพรีเดเตอร์ในสไตล์ของตัวเองและรายละเอียดต่างๆบนชิ้นงานและฉากก็ทำได้สุดยอดมากๆ)

สำหรับตัวเอง การได้เป็นนักเขียนให้กับหนังสือนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้ตัวเองหัดเขียนบทความอย่างจริงจัง และช่วงเวลาหลายปีนั้นก็เป็นการฝึกฝนการเขียนหนังสือของตัวเองใหัพัฒนาขึ้นเรื่อยๆไปพร้อมๆกับการฝึกฝนการทำโมเดลของตัวเอง ในตอนนั้นไม่เคยรู้เลยว่าจะมีคนอ่านบทความของเรามากน้อยแค่ไหน รู้แค่ว่ามันสนุกมากที่ได้ทำงานออกมาเรื่อยๆและสามารถบอกเล่าให้คนอื่นอ่านได้ ก็เลยพยายามทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด และพยายามหาหัวข้อที่น่าสนใจมาทำเพื่อที่จะให้บทความนั้นมีความหลากหลาย จนผ่านมาหลายปีให้หลังพอได้เจอผู้คนตามงานโมเดลต่างๆถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมามีคนคอยตามอ่านบทความของเราอยู่พอสมควร ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าการเป็นนักเขียนตัวเล็กๆในนิตยสารเกี่ยวกับงานอดิเรกทึ่เป็นเรื่องเฉพาะทางและไม่ได้มีคนสนใจมากนัก จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆได้ขนาดนี้ มันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองตั้งใจทำนั้นมันมีประโยชน์กับคนอื่นจริงๆ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ยังคงพยายามเขียนบทความต่างๆลงในบล็อกและในเพจของตัวเองมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ก็มีพี่ที่สนิทกันท่านหนึ่งเคยบอกเอาไว้นานแล้วให้คอยระวังตัว ถึงแม้จะเป็นวงการเล็กๆแต่ถ้ามีฝีมือโดดเด่นมีชื่อเสียงเกินหน้าเกินตาก็จะมีคนไม่พอใจหรือถูกหมั่นไส้เอาได้ เพราะคนประเภทนี้มันมีอยู่ในทุกๆที่ในทุกวงการ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะไม่คิดว่าการที่ได้มาเขียนบทความแบบนี้จะไปสร้างความไม่พอใจให้กับใครได้ และส่วนตัวก็ไม่ได้รู้จักใครในวงการหรือเคยไปทำอะไรแย่ๆกับใครไว้ ก็ตั้งใจทำงานของตัวเองต่อไปไม่ได้สนใจอะไร จนผ่านมาหลายปีให้หลังถึงมีคนมาบอกว่า เคยมีคนแอบอ้างว่าเป็นเราโทรไปด่าเขาเกี่ยวกับเรื่องการทำงานโมเดลของเขา ทำให้เขาเกลียดเรามานานหลายปีโดยที่ตัวเราเองไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย กว่าจะเข้าใจกันได้ก็กินเวลาหลายปี แม้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนแอบอ้าง 

พี่ที่สนิทกันเคยบอกไว้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากเป็นนักเขียนให้กับหนังสือโมเดล เพราะจะได้เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและสามารถนำไปใช้ในการรับจ้างทำงานได้สะดวกมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนี้ แล้วอยู่ดีๆมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ได้มาทำตรงนี้ก็อาจจะทำให้มีคนอิจฉาไม่พอใจจนกลายเป็นการมากลั่นแกล้งกัน ตอนนั้นจึงได้เข้าใจว่าคนขี้อิจฉาริษยาคนที่จิตใจคับแคบและไม่ต้องการเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองนั้นมีอยู่จริงๆ คนแบบนี้มีอยู่ทุกที่ทุกวงการและทุกยุคสมัย แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังเห็นบางท่านที่ต้องเผชิญกับคนประเภทนี้อยู่เนืองๆ อยากบอกท่านเหล่านั้นหรือท่านอื่นๆหากต้องเจอกับคนประเภทนี้ว่า สิ่งที่ควรทำคืออย่าไปให้ค่าให้ความสำคัญกับคำพูดหรือการกระทำของคนพวกนี้ เพราะเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับชีวิตของเราเลยแม้แต่น้อย ควรให้ความสำคัญกับคนที่เข้าใจเราและตั้งใจฝึกฝนผลงานของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วผลงานของเราจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของตัวเราเองได้ดีที่สุด ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีตัวตนไม่มีความสามารถอะไรมาเป็นคนบอกครับ

จริงๆตั้งใจว่าจะเขียนเล่าเรื่องของการทำหนังสือในอดีตว่าเป็นอย่างไร ไปๆมาๆกลับมาจบที่เรื่องดราม่าเสียได้ 😅 พอดีนึกถึงเรื่องราวสมัยก่อนแล้วมันจะมีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวด้วยก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันเป็นอุทาหรณ์ เพราะแม้จะผ่านมายี่สิบปีก็ยังมีคนแบบนี้อยู่และคงจะมีมาอีกเรื่อยไปตามธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันที่จะรับมือกับคนพวกนี้ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับจิตใจเราได้ เป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านที่ตั้งใจฝึกฝนการทำงานของตัวเองครับ 😃

สุดท้ายนี้หวังว่าจะชอบบทความระลึกความหลังเคล้าดราม่าอันนี้กัน 😆 ไว้มีโอกาสจะหาอะไรมาเขียนให้อ่านเล่นกันอีก แล้วพบกันใหม่ครับ























Monday, December 19, 2022

#artvsartist2022

#artvsartist2022 ปีนี้ถือว่าทำผลงานได้เยอะกว่าปีที่แล้วพอสมควรเลย 😅 แม้จะมีงานอื่นๆแทรกเข้ามาให้ต้องดูแลด้วยก็ตาม 😆 ปีหน้าจะพยายามทำให้ดีขึ้นกว่านี้ครับ 😉🤘



Thursday, December 15, 2022

Warhammer Store & Cafe - Tokyo

เมื่อวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปงานฉลองเปิดร้าน Warhammer Store & Cafe สาขาล่าสุดที่ย่านอากิฮาบาระ ในเมืองโตเกียวครับ

ก่อนหน้านี้ตอนที่วางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่น เห็นข่าวการเปิดร้านสาขานี้แล้วมันอยู่ในช่วงที่อยู่ที่นั่นพอดี ก็เลยตั้งใจว่าอยากจะไปดูบรรยากาศตอนวันเปิดร้านที่ญี่ปุ่นว่าจะเหมือนหรือแตกต่างจากที่แอลเออย่างไร และจะได้เก็บภาพและบรรยากาศต่างๆมาเล่าสู่กันฟังด้วย เผื่อใครมีโอกาสไปเที่ยวที่ย่านอากิฮาบาระ และอยากแวะไปที่ร้านนี้ก็ลองดูโพสนี้เป็นแนวทางได้ครับ

ส่วนตัวรู้ว่าคนในประเทศญี่ปุ่นนั้นนิยมงานอดิเรกประเภทโมเดลกันมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกันดั้ม อนิเมต่างๆ หรือสเกลโมเดลที่มีขายกันมากมาย แต่กับวอร์แฮมเมอร์แล้วแทบจะไม่รู้เลยว่าได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหนในญี่ปุ่น จริงๆก็พอรู้ว่าที่ญี่ปุ่นมีร้าน Warhammer Store ที่เป็นร้าน Official ของ Games Workshop มาเปิดเองอยู่บ้าง (เท่าที่ทราบคือมี 6 ร้านในโตเกียวและเมืองใกล้เคียง) และสมัยก่อนเคยมีการจัด Games Day และ Golden Demon ในญี่ปุ่นอยู่หลายปี แต่ก็แทบจะไม่ได้เห็นข่าวคราวความเคลื่อนไหวหรือแม้แต่ภาพของคนเล่นหรือคนเพ้นท์วอร์แฮมเมอร์ชาวญี่ปุ่นกันสักเท่าไหร่ ก็เลยเดาค่อนข้างยากว่าในวันเปิดร้าน Warhammer Store & Cafe ที่เป็นร้านใหญ่แบบนี้ในโตเกียว จะมีคนมาร่วมฉลองวันเปิดร้านกันมากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวเดาว่าคงมีคนมารอแถวก่อนเข้าร้านกันอาจจะสัก 40-50 คนก็คิดว่าน่าจะเยอะแล้ว คงไม่เยอะแบบหลายร้อยคนเหมือนตอนวันเปิดร้านที่แอลเอ พอถึงวันเสาร์ที่ 3 เราก็เลยออกเดินทางกันช่วงสายๆไม่ได้รีบมากเพราะคิดว่าคนคงไม่เยอะเท่าไหร่

การเดินทางไปที่ร้าน Warhammer Store & Cafe - Tokyo วิธีที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Akihabara แล้วออกทาง Electic Town Gate ใช้เวลาเดินไปทึ่ร้านประมาณ 5 นาที จุดสังเกตเมื่อเดินออกมาพอเจอถนนให้เดินเลี้ยวซ้าย จะเจอสี่แยกใหญ่และมีร้าน Bic Camera อยู่ตรงหัวมุมขวามือ ฝั่งตรงข้ามเป็นอาคารขนาดใหญ่ Sumitomo Fudosan Akihabara Building แล้วให้เดินตรงข้ามสี่แยกไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นถนน Kandamyojin-dori Street เดินไปไม่ไกลจากสี่แยกก็จะถึงร้าน Warhammer Store & Cafe - Tokyo ตั้งอยู่ทางซ้ายมือและมีร้าน FamilyMart ตั้งอยู่ถัดไปครับ

ตอนที่เดินไปที่ร้านพอถึงใกล้ๆสี่แยกก็คิดว่าสงสัยคนคงจะไม่เยอะมากเพราะมองไม่เห็นแถวคนรอ แต่พอเริ่มเดินเข้าไปใกล้หน้าร้านก็เริ่มเห็นคนยืนต่อแถวกันยาวเพื่อรอเข้าร้าน เท่าที่เห็นตรงนั้นน่าจะมีคนรอสัก 30-40 คนได้ เดินมาสุดแถวนึกว่าหมดแล้ว แต่หันไปเห็นว่ามีคนรอตรงมุมตึกยาวต่อไปอีก เดินตามไปเรื่อยๆแถวยาวจากด้านหน้าทางเข้าอ้อมมาจนถึงด้านหลังร้าน คนเยอะมากแบบคาดไม่ถึง ตอนที่ไปถึงปลายแถวเป็นเวลาประมาณ 11:20 น่าจะมีคนยืนรออยู่ร่วมร้อยคนได้ มีทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติยืนเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางอากาศหนาวประมาณ 10 องศา (วีดีโออยู่ในคอมเม้นท์ครับ) ตอนนั้นตัดสินใจกันว่าจะเอาอย่างไรดีเพราะว่าแถวยาวมาก การจะเข้าไปในร้านจะต้องรอให้คนที่เข้าไปก่อนใช้บริการในร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากร้าน ถึงจะให้คนที่ยืนรอคิวเข้าไปได้ตามจำนวนคนที่ออกมา ดังนั้นจากจำนวนคนที่เห็นน่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงแน่ๆ กว่าจะได้เข้าร้าน แถมอากาศยังหนาวจัดถ้าต้องยืนรอด้านนอกแบบนี้นานๆน่าจะแย่อยู่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจยืนเข้าคิวรอกันเพราะว่าอุตส่าห์มาไกลกันขนาดนี้แล้วก็คงต้องลองอดทนกันดูสักตั้ง อย่างน้อยยังดีที่รอบนี้มากันสองคนเลยยังผลัดกันไปเข้าห้องน้ำหรือหาซื้ออะไรกินกันได้ 

ตอนที่เดินมาสังเกตเห็นคนที่ยืนต่อแถวอยู่ถือถุงพลาสติกของร้านกันหลายคน เลยถามฝรั่งคนข้างหน้าว่าเข้าไปในร้านมาแล้วหรือ? เขาบอกว่ามีสตาฟของร้านคอยเดินมาแจกถุงของที่ระลึกให้กับทุกคนเพื่อขอบคุณที่มายืนรอเข้าร้านท่ามกลางอากาศหนาวกันอย่างอดทน หลังจากยืนไม่นานนักก็มีสตาฟเดินถือถุงมาหอบใหญ่แล้วมอบให้กับคนที่มายืนต่อแถวใหม่ทุกคน ภายในถุงประกอบไปด้วยโปสเตอร์ 2 แผ่นของ 40k และ AOS, หนังสือนิยาย Warhammer Age of Sigmar ฉบับแปลภาษาญี่ปุ่น, ถุงลูกเต๋าคละสีจำนวน 10 ลูก, เข็มกลัด และ Chaos Cultist Dog Tag เรียกว่าให้ของที่ระลึกกันแบบจุใจมากๆ ตอนไปวันเปิดร้านที่แอลเอยังไม่มีของแจกทุกคนกันขนาดนี้ เท่าที่ดูของสองชุดที่ได้รับมา ส่วนของนิยาย ลูกเต๋า และเข็มกลัดนั้นให้มาแบบไม่ซ้ำกันด้วย ทำให้มีกำลังใจยืนต่อคิวกันขึ้นอีกเยอะเลย

หลังจากยืนรอกันหลายชั่วโมงในที่สุดก็ถึงตาเราได้เข้าไปในร้านกันบ้าง ตามธรรมเนียมของการเปิดร้านวอร์แฮมเมอร์สาขาใหม่ ในวันเปิดร้านจะมีการนำมิเนียเจอร์ตัวพิเศษ (Commemorative Series) ที่ไม่ได้มีขายทั่วไปมาวางขายเฉพาะในวันเปิดร้านด้วย ในคราวนี้ประกอบไปด้วยมิเนียเจอร์จำนวน 6 แบบจาก 40k และ AOS ฝั่งละ 3 ตัว แบ่งเป็นจากซีรีส์ Collectors Edition ปี 2019 (ชื่อเก่าก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น Commemorative Series) 2 ตัวคือ SE Berek The Indomitable (AOS) และ SE Leena Stormspire (AOS) จากซีรีส์ Store Anniversary ปี 2019 และ 2020 2 ตัวคือ SM Sergeant Jovan (40k) และ Astra Militarum Sergeant "Ripper" Jackson (40k) และสองตัวสุดท้ายจาก Commemorative Series ปี 2022 คือ Orruk Warclan Mugruk Da Watcha (AOS) และ SM Primaris Company Champion (40k)

หลายๆคนที่มายืนรอต่อคิวกันนานๆส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะมาซื้อมิเนียเจอร์ตัวพิเศษเหล่านี้  เพราะมันหาซื้อได้ยากถ้าไม่ใช่ในโอกาสพิเศษของทางร้านก็ต้องสั่งซื้อจากคนที่มาลงขายต่อทางออนไลน์ซึ่งจะมีราคาสูงกว่าซื้อจากที่ร้านมาก

หลังจากได้เข้ามาในร้านก็เดินถ่ายรูปบรรยากาศต่างๆภายในร้าน ที่จะมีตู้โชว์ผลงานที่ทำสีเสร็จแล้วกระจายอยู่รอบๆตามชั้นวางต่างๆ บางชิ้นที่เห็นเพ้นท์ในระดับการส่งประกวด Golden Demon เลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นของศิลปินท่านไหนหรือเป็นผลงานที่เคยได้รางวัลแล้วนำมาจัดแสดงที่นี่หรือเปล่า แต่ว่าแต่ละชิ้นนี่สวยมากจริงๆ นอกจากนี้ยังมีผลงานฉากจำลองขนาดใหญ่ของการสู้รบระหว่างฝ่าย Stormcast Eternals กับ Orruk Warclan ที่สร้างขึ้นโดยทีมงานของ Warhammer World ที่ประเทศอังกฤษและถูกส่งมาเพื่อจัดแสดงที่ร้านนี้โดยเฉพาะ รายละเอียดต่างๆทำออกมาได้สุดยอดมาก เสียดายที่ตัวฉากอยู่ในตู้กระจกเลยถ่ายภาพได้ค่อนข้างลำบาก 

ส่วนอื่นๆภายในร้านก็จะมีโต๊ะสำหรับเล่นเกมกระจายอยู่ด้านหน้าร้าน มีบริเวณให้ทดลองเพ้นท์มินิเจอร์ทั้งของ AOS และ 40k ซึ่งทางร้านได้ประกอบและพ่นสีรองพื้นเตรียมไว้ให้แล้ว จะลองเพ้นท์เองหรือจะให้สตาฟสอนให้หรือจะหยิบกลับไปเพ้นท์ที่บ้านก็ได้ ทางร้านแจกให้ฟรี

ส่วนบริเวณด้านหลังซ้ายมือจะมีบาร์ขายเครื่องดื่มพิเศษและขนมของทางร้าน จริงๆอยากลองสั่งอาหารและน้ำอยู่เหมือนกันแต่มีคนต่อคิวเยอะมากก็เลยอดไป ส่วนด้านหลังที่เหลือจะเป็นโต๊ะและโซฟาสำหรับนั่งดื่มนั่งเล่นพูดคุยกัน และมีจอทีวีขนาดใหญ่ฉายวีดีโอต่างๆของทาง Games Workshop ให้ดูกันด้วย

ส่วนของสินค้าภายในร้านมีการแบ่งโซนของสินค้าทุกประเภทเอาไว้อย่างครบครัน ตั้งแต่ชั้นวางสี, อุปกรณ์, ของที่ระลึก, นิยาย, WH40k, WHAOS, Forge World, Boxed Games ต่างๆทั้ง WH Underworlds, Warcry, Necromunda ฯลฯ, ไปจนถึงแอ๊คชั่นฟิกเกอร์

สินค้าที่อยู่ภายในร้านอาจจะมีไม่ครบทุกรายการ โดยเฉพาะ Forge World ที่มีค่อนข้างน้อย แต่ในร้านจะมีบริการสั่งซื้อสินค้าทุกรายการที่มีในเว็บไซต์ Games Workshop และ Forge World เพื่อให้มาส่งที่ร้านโดยไม่คิดค่าบริการจัดส่งและสามารถมารับได้ในภายหลัง

ส่วนตัวตอนแรกตั้งใจว่าอยากมาเก็บบรรยากาศวันเปิดร้านเป็นหลัก ไม่ได้กะว่าจะมาซื้ออะไรมากมาย แต่พอเห็นตรงชั้นวาง Forge World มีเหล่า Primarch จาก The Horus Heresy Character Series ให้เลือกอยู่หลายคน ลองเช็คราคาดูถูกกว่าซื้อที่อเมริกาพอสมควร ก็เลยตบะแตกจัดมาสองท่าน 😅 ตอนที่ไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ถึงได้รู้ว่าวันนี้มึโปรโมชั่นถ้าซื้อสินค้าถึงราคาที่กำหนดไว้จะมีของขวัญมอบให้ด้วย ที่ซื้อไปมียอดเกินสามหมื่นเยน ได้รับภาพอาร์ตปริ้นหนึ่งใบ กระเป๋าสะพายข้าง กระเป๋าใส่ลูกเต๋า กระเป๋าใส่ของขนาดเล็ก และเหรียญสำหรับสะสม Warhammer Collectible Coin อีก 2 เหรียญ ใส่รวมกันมาในถุงใบใหญ่ รวมกับของที่ระลึกที่ได้รับแจกตั้งแต่ก่อนเข้าร้านอีกสองถุง กับของที่ซื้ออีกหนึ่งถุง ตอนเดินออกมาจากร้านเลยต้องหิ้วถุงกันพะรุงพะรัง ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ของติดมือกลับบ้านกันเยอะขนาดนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลกันสุดๆ 

ตอนที่ออกมาจากร้านเริ่มจะเย็นแล้วแต่ก็ยังมีคนยืนรอต่อคิวหน้าร้านกันอยู่อีกหลายสิบคน ไม่คิดเหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นจะนิยมวอร์แฮมเมอร์กันขนาดนี้ หวังว่าในอนาคตถ้าที่ไทยมีคนนิยมวอร์แฮมเมอร์กันมากขึ้นเรื่อยๆ คงจะได้เห็นร้านแบบนี้ที่ไทยบ้าง อยากจะเห็นบรรยากาศแบบนี้ในเมืองไทยคงจะน่าสนุกดีครับ 

สำหรับท้ายบทความนี้ มีเกมมาให้เล่นกันสนุกๆเพื่อลุ้นของรางวัลเล็กๆน้อยๆที่ได้มาจากร้าน Warhammer Store & Cafe - Tokyo ครับ โดยมีกติกาคือ

1. ให้ทายเวลาที่ได้เดินเข้าไปในร้านว่าเป็นเวลาตอนกี่โมงกี่นาที

2. ตอบคำถามมาในช่องคอมเม้นท์ของโพสนี้ในเพจ Thor Studio เท่านั้น

3. ให้สิทธิ์ร่วมสนุกเฉพาะผู้ที่กดไลค์หรือกดติดตามเพจเท่านั้น

4. ของรางวัลมี 3 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลที่ 1, 2 และ 3 (ภาพของรางวัลอยู่ตรงท้ายโพส)

5. รางวัลที่ 1 มอบให้กับผู้ที่ทายเวลามาได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงที่สุดเป็นคนแรก รางวัลที่ 2 และ 3 มอบให้กับผู้ที่ทายเวลามาได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงตามลำดับที่ 2 และ 3

6. รางวัลที่ 1 เป็นมิเนียเจอร์ Stormcast Eternals Vindicator จำนวน 1 ตัวที่ประกอบและพ่นรองพื้นสีดำแล้ว มาพร้อมกับกล่องกระดาษพิมพ์ภาษาญี่ปุ่น

7. รางวัลที่ 2 เป็นโปสเตอร์ Warhammer 40,000 Chapters of the Space Marines ที่รวมภาพของสีชุดและสัญลักษณ์ที่เกราะใหล่ของทุกแชปเตอร์ ส่วนด้านหลังโปสเตอร์เป็นแผนที่ของจักรวาล 40K พร้อมกับชุดลูกเต๋า 10 ลูก และเข็มกลัด Ultramarines 

8. รางวัลที่ 3 เป็นโปสเตอร์ภาพแผนที่โลก Warhammer Age of Sigmar แบบภาษาญี่ปุ่น พร้อมกับชุดลูกเต๋า 10 ลูก และ Chaos Cultist Dog Tag

9. มีเวลาตอบคำถามตั้งแต่วันนี้จนถึงเวลาเที่ยงคืนของวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม และจะเฉลยคำตอบในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม ผู้ที่ได้รับรางวัลจะได้รับการติดต่อเพื่อขอที่อยู่และจะจัดส่งของให้ภายในอาทิตย์หน้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ