Friday, May 27, 2016

การแสดงความเห็นต่างหรือวิจารณ์ผลงานผู้อื่น ผู้พูดจำเป็นต้องมีผลงานที่ดีกว่าหรือไม่?

***บทความนี้ผมเขียนไว้ได้สักพักแล้ว ตัดสินใจอยู่นานเหมือนกันว่าจะลงดีหรือเปล่า อยากให้ลองอ่านและพิจารณากันดูครับ***

ช่วงที่ผ่านมาผมได้เห็นความคิดประเภทหนึ่งที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยครั้ง คือเรื่องของการไม่ยอมรับฟังความเห็นต่างของคนอื่นที่มีต่อผลงานหรือความคิดของตัวเอง แม้ความเห็นต่างนั้นจะถูกต้องก็ตาม (โดยเฉพาะเมื่อมาจากคนที่มีประสบการณ์ด้อยกว่า) และมักจะมีการโต้แย้งและลงเอยด้วยการที่บอกให้คนที่เห็นต่างนั้นนำงานมาลงให้ดู เพื่อสื่อความหมายว่าคนที่จะเห็นต่างหรือวิจารณ์งานของคนอื่นควรจะต้องมีฝีมือที่มากกว่าถึงจะมีสิทธิที่จะออกความเห็นแย้งหรือวิจารณ์ได้

ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับความคิดแบบนี้เป็นอย่างมาก เพราะมองว่ามันเป็นความคิดที่สื่อถึงการยกตนข่มท่านของผู้พูด โดยใช้ความอาวุโสหรือประสบการณ์ในการทำงานที่มากกว่า มากลบเกลื่อนสิ่งที่อีกฝ่ายเห็นแย้งหรือวิจารณ์มา และกดดันให้ต้องยอมจำนนด้วยประโยค "ขอดูผลงาน หรือ นำผลงานมาลงให้ดู" เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของผลงานของทั้งสองฝ่าย และใช้ระดับฝีมือเป็นตัวตัดสินความคิดที่ถูกต้อง แทนที่จะตัดสินกันด้วยการพิจารณาถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายแสดงความเห็นแย้งหรือวิจารณ์มานั้นว่าถูกหรือผิด 

ผมได้เห็นความคิดแบบนี้จากคนที่มีประสบการณ์ทำงานมานาน หรือจากคนที่ชื่นชอบในผลงานของคนที่โดนคนอื่นวิจารณ์และไม่เห็นด้วยกับคำวิจารณ์นั้น เมื่อมีคนที่มีประสบการณ์น้อยกว่ามาพูดถึงความผิดพลาดในงานของตัวเองหรืองานของคนที่ชอบ แม้สิ่งที่พูดมานั้นจะเป็นความจริงก็ตาม ก็ไม่อาจยอมรับได้เพราะเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น คิดว่าเป็นการทำให้ตัวเองเสียหน้า และมองว่าเป็นเพราะอคติที่มีต่อผลงาน มากกว่าที่จะมองว่าเป็นความหวังดีจากอีกฝ่าย
คนที่มีความคิดแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะมองว่าคำวิจารณ์นั้นมีแต่เพียงแง่ลบในด้านเดียว ทั้งที่จริงๆแล้ว การแสดงความเห็นหรือวิจารณ์งานของผู้อื่น แม้จะเป็นการพูดถึงข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบนผลงาน แต่มันก็ช่วยให้เจ้าของผลงานได้เห็นถึงความผิดพลาดนั้นๆที่ตัวเองอาจจะมองข้ามไป ซึ่งถ้ามองในแง่บวกแล้ว การที่ได้เห็นถึงความผิดพลาดนี้ จะช่วยให้เก็บไว้เป็นบทเรียนเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นในงานชิ้นต่อๆไปได้ 

ที่สำคัญ ผมคิดว่าการที่บุคคลหนึ่งจะแสดงความคิดเห็นใดๆก็ตาม คงไม่จำเป็นที่จะต้องจบปริญญาเอกในสาขานั้นๆหรือเคยได้รางวัลแชมป์โลกมาก่อน ถึงจะมีสิทธิในการแสดงความเห็นต่างหรือวิจารณ์ผลงานผู้อื่น ขอเพียงแค่บุคคลนั้นมีความรู้ มีประสบการณ์ในสิ่งที่พูดหรืออ้างถึงจริง แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอต่อการแสดงความคิดเห็นของเขา เพราะในความเป็นจริงแล้ว การที่ฝีมือในการทำงานไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าจะขาดความรู้หรือประสบการณ์ในการทำงานด้านอื่นๆไปด้วย 
เปรียบเทียบให้เห็นภาพคงเหมือนกับนักวิจารณ์หนัง หรือ นักวิจารณ์กีฬา แม้ว่าจะไม่เคยสร้างหนังเองหรือเป็นนักกีฬาอาชีพมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความรู้ในสิ่งที่เขาพูดถึง

ผมยกเรื่องนี้มาพูดถึง เพราะมองว่าความคิดแบบนี้อาจจะมีผลกระทบต่อส่วนรวมในระยะยาว โดยเฉพาะต่อกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจในงานอดิเรกประเภทนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยเท่าไรหากคุณเป็นมือใหม่ที่เผลอแสดงความคิดเห็นใดๆไปด้วยความตรงไปตรงมาหรือหวังดี แล้วโดนตอกกลับว่าขอดูงานหน่อย โดยไม่สนใจในสิ่งที่คุณพูด และกลับกลายเป็นคุณเสียเองที่สร้างความบาดหมางขึ้นมา?
แล้วถ้าต่อไปไม่มีใครกล้าที่จะแสดงความเห็นต่างใดๆอีก เพราะเกรงกลัวหรือไม่อยากยุ่งเกี่ยว แม้จะเห็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรหรือเป็นความรู้ผิดๆที่กำลังเผยแพร่แก่ผู้อื่นก็ตาม สังคมเล็กๆนี้จะกลายเป็นอย่างไร?

ผมเคยได้เห็นคนพูดอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับเรื่องของการทำอย่างไรให้วงการโมเดลนั้นพัฒนามากขึ้น หรือทำให้คนหันมาสนใจในงานอดิเรกประเภทนี้กันมากกว่านี้ คำตอบสำหรับคำถามนี้ของผม คือ เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมายหรือยิ่งใหญ่หรอก แค่เพียงเคารพคนที่มีมุมมองต่างจากเรา ให้เกียรติความคิดเห็นของคนที่เห็นต่าง และที่สำคัญคือแบ่งปันความรู้ที่เรามีต่อผู้อื่นอย่างถูกต้อง แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สังคมเล็กๆนี้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้ 
หากทุกคนเข้าใจว่าภาระหน้าที่และมุมมองที่มีต่องานอดิเรกของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกันแล้ว ก็คงจะไม่มีใครเอาคำว่าประสบการณ์หรือฝีมือที่มากกว่าน้อยกว่ามาใช้ในการข่มคนอื่น และปัญหาเรื่องการไม่เข้าใจกันในการแสดงความคิดเห็น ก็คงจบลงได้ด้วยการพูดคุยกันด้วยเหตุผล 

ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพราะอยากให้คนที่ได้อ่านนั้นรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และอยากให้ทุกท่านได้ลองพิจารณาดูว่าความคิดแบบที่กล่าวข้างต้นนั้นเหมาะสมหรือไม่? แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้น เป็นความคิดเห็นและมุมมองที่มีต่อเรื่องนี้ของผมคนเดียว ตัวผมเองเชื่อในสิ่งที่ผมเขียน แต่ผมคงไม่สามารถบอกให้ใครมาเชื่อในสิ่งที่ผมเชื่อได้ บทความนี้ทำหน้าที่เพียงสะท้อนความคิดของผมออกมา ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะต้องการชี้นำความคิดใคร ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองต้องเป็นคนตัดสิน ว่าจะมองบทความนี้แบบไหนครับ
ผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูง หากบทความนี้จะทำให้เกิดความไม่พอใจสำหรับบางท่านที่ไม่เห็นด้วย ผมไม่ได้ต้องการโจมตีหรือว่ากล่าวใคร เพียงแต่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเล็กๆนี้ เมื่อเห็นสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง(ในความคิดของตัวเอง)และอาจจะกระทบต่อส่วนรวม คงจะไม่สามารถทำเฉยและปล่อยผ่านไปได้ จึงนำมาเรียบเรียงและเผยแพร่ เพื่อให้คนอื่นๆในสังคมได้อ่านและลองตัดสินกันเอาเองครับ 
และหากสิ่งที่ผมคิดนั้นผิดและทำให้เกิดผลเสียต่อส่วนรวม ผมก็ยินดีที่จะรับผลกระทบใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองครับ

สุดท้ายนี้ สำหรับท่านที่มีเป้าหมายในการพัฒนาผลงานของตัวเอง โปรดจำไว้เสมอว่าคำวิจารณ์นั้นมีประโยชน์มากกว่าคำชม เพราะมันช่วยให้เรามองเห็นข้อผิดพลาด และนำไปแก้ไขปรับปรุงให้ผลงานนั้นดีขึ้นได้ คนที่มองไม่เห็นข้อผิดพลาดในผลงานของตัวเอง ก็ยากที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น

ด้วยความเคารพครับ

2 comments:

  1. เป็นบทความที่ดีมากๆเลยครับ ผมเห็นด้วยและขอบคุณกับบทความดีๆแบบนี้ครับ
    ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ แต่ก็พอจะได้ยินเรื่องแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน
    คนพวกนี้ผมว่าเป็นคนใจแคบ อยู่แต่ในกลาของตนเอง
    ไม่ควรจะมาทำงานอดิเรกพวกนี้ด้วยซ้ำ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ :)

      Delete